กิเลสฟาร์ม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ ธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ตามความเป็นจริง นี่สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมนะ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญาๆ ศีลไง สีละคือความมั่นคง สีละคือศีลคือความปกติของใจ
ศีล ศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เวลาทําผิดศีลผิดธรรมไง ถ้าผิดศีลผิดธรรมขึ้นมา สิ่งที่ว่าศีลในปัจจุบันนี้ ถ้าในปัจจุบันนี้เราทําผิดทําพลาดไปต่างๆ มันเป็นความวิตกเป็นความกังวล มันเป็นบาปเป็นกรรมในหัวใจของเรา ถ้าเป็นบาปเป็นกรรมในหัวใจของเรา เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่การกระทําแล้วมันจะเป็นจริตเป็นนิสัย เวลามันเป็นจริตนิสัย มันเป็นมุมมอง เป็นทัศนคติของแต่ละบุคคล
ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล เวลาศีลไง เวลาฤาษีชีไพรของเขา ทําไมเรารู้ได้ว่าฤาษีชีไพรเขาถือศีล ๘ ของเขา เวลาเขาถือศีล ๘ ของเขาเพราะเขากินผลไม้ เวลาไม่มีพระพุทธศาสนา นี่ฤาษีชีไพรของเขา เขาก็ออกประพฤติปฏิบัติของเขา เพราะอะไร เพราะเวลาคนเราเกิดมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามันถึงชีวิต ชีวิตของเขา ถ้าเขามีสติมีปัญญาของเขา เขาก็แสวงหาทางออกของเขา เขาทําได้แค่นั้น
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาออกประพฤติปฏิบัติก็ไปศึกษากับเขานี่แหละ ไปศึกษากับเขา ศึกษา ศึกษากับเขาจนหมดความรู้ของเขาแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองไง เวลาตรัสรู้เองโดยชอบ การตรัสรู้เองโดยชอบ ตรัสรู้โดยมรรคญาณ นี่เป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัจจะเป็นความจริงเป็นขึ้นมาเพราะเหตุใด?
เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาเพราะว่าท่านแสวงหา ท่านค้นคว้ามา เพราะศึกษาและเปรียบเทียบกับเจ้าลัทธิต่างๆ ขึ้นมาแล้ว ก็ศึกษากับเขามาหมดแล้ว ก็ได้กระทําแล้ว ก็ได้พิสูจน์แล้ว เวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เพราะมันได้พิสูจน์แล้ว มันทํามาแล้ว แต่เวลาเป็นข้อเท็จจริงมันพิสูจน์ตรงไหน? มันพิสูจน์ตรงเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นสัจจะ เป็นความจริงในหัวใจของเราเอง
ถ้ามันเป็นในหัวใจของเราเอง เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ คนที่ไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อก็ต้องให้มีศรัทธาความเชื่อก่อน ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อของเขา เขาก็มีอํานาจวาสนาของเขาที่เขาจะศึกษาค้นคว้าของเขา เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม กาลามสูตร กาลามสูตรไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้นเพราะอะไร?
เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษาค้นคว้ามาแบบนี้ แล้วผลของวัฏฏะๆ คนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ คนที่มีอํานาจวาสนา ไม่มีอํานาจวาสนา ก็เป็นแบบนี้ เป็นแบบนี้เพราะอะไร ดูจิตใจคนที่อ่อนแอสิ มันเชื่อคนง่ายๆ เชื่อเขารํ่าไป เวลาคนที่มันแข็ง มันกระด้าง มันก็ไม่เชื่อใครเลยเหมือนกันนะ เพราะไม่เชื่อใครเลยขึ้นมา แต่ถ้ามีอํานาจวาสนา เห็นไหม เขาต้องหาเหตุหาผลมาเพื่อหัวใจของเขา เพื่อหัวใจของเขา เห็นไหม
เราก็มีความทุกข์ความยากในหัวใจดวงนี้อยู่แล้ว แล้วเวลาจะมีการกระทําขึ้นมา มันจะกระทํามาจากที่ไหนล่ะ ถ้ามันกระทําจากที่ไหน เห็นไหม เราก็ศึกษาค้นคว้าไง ศึกษาค้นคว้าก็เป็นการศึกษาค้นคว้า นั่นน่ะคนเราเกิดมาต้องมีศรัทธามีความเชื่อ มีศรัทธาความเชื่อแล้วค้นคว้าขึ้นมา แล้วมันก็มาแยกมาแยะ แยกแยะว่าสิ่งใดถูกต้อง สิ่งใดที่เป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันไม่มีสิ่งใดที่เป็นจริงขึ้นมา มันก็ต้องศึกษาหาครูบาอาจารย์ที่ดีงามต่อไป
มันเป็นวาสนาของคนนะ อย่างเช่น เรานี่ เราเกิดมาท่ามกลางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ในประเทศไทยเพราะถ้าไม่มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปูมั่น ในวงการประพฤติปฏิบัติก็จะไม่มั่นคงอย่างนี้ ไม่มีบุคคลผู้ใดจะชี้ถูกชี้ผิดให้เป็นข้อเท็จจริงได้ แต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านชี้ถูกชี้ผิดตามข้อเท็จจริงในใจของท่านก่อน
ในใจของท่านคือท่านออกประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม สิ่งใดสงสัยก็คือสงสัย ถ้าสงสัยขึ้นแล้วพยายามอบรมบ่มเพาะขึ้นมา เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่าในเขาของท่าน ไปอยู่ถํ้าสาริกา ๓ ปี อยู่ในถํ้าองค์เดียว ๓ ปี แล้วเวลาเข้าไปอยู่แต่ละที่แตกต่างกันไป อยู่ในป่าในเขาของท่าน ความอยู่ในป่าในเขาของท่านนะ
สัตว์! สัตว์มันเป็นสัตว์นะ มันเป็นสัตว์ป่ามันก็อยู่ในป่าในเขาโดยธรรมชาติของสัตว์ป่า นี่คน! แล้วไม่ใช่คนที่ไม่มีอํานาจวาสนา คนที่มีอํานาจวาสนา ถ้าไม่มีวาสนาไม่ได้สร้างบุญญาธิการมาแสนกัป ไม่มีโอกาสได้เป็นพระอรหันต์แน่นอน คําว่า “เป็นพระอรหันต์” คือท่านประพฤติปฏิบัติจนสิ้นสุดแห่งทุกข์ จนเป็นพระอรหันต์ แล้วจนเป็นโรงงานใหญ่ เป็นอาจารย์ใหญ่ในวงการกรรมฐาน เป็นคนชี้ถูกชี้ผิด ชี้ถูกชี้ผิดเพราะท่านผิดมาก่อน
คนเราถ้าไม่มีการผิดพลาดมาก่อน ไม่มีการตกทุกข์ได้ยากขึ้นมาก่อน จะเอาอะไรไปชี้เขา แล้วถ้าไปชี้เขา ชี้เขา ชี้เขาตรงไหน ถ้าชี้เขา ถ้าเขาไม่มีศรัทธาความเชื่อเขาไม่ฟังหรอก ไม่ฟัง ไม่ฟัง เห็นไหม
ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยก็เผยแผ่ธรรมๆ เวลาเผยแผ่ เผยแผ่ เห็นไหม “มารเอย! เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็งสามารถกล่าวแก้คําจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน” วางธรรมวินัย ๔๕ ปี อบรมบ่มเพาะ อบรมบ่มเพาะใครที่มีอํานาจวาสนาเล็งญาณไปเอาคนนั้นก่อน เอาคนนั้นก่อน เห็นไหม ถ้าเขาได้บรรลุธรรมขั้นใดก็แล้วแต่ แล้วต้องให้เขาฝึกหัดต่อเนื่องไป
เอหิภิกขุ เวลาผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วนะ “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด” ผู้ที่บรรลุธรรมแต่ละขั้นแต่ละตอน “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วประพฤติปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ต่อไป” เวลาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชด้วยเอหิภิกขุ บวชด้วยตัวเองไง ฉะนั้น มาฆบูชา เห็นไหม บวชให้เอง อบรมบ่มเพาะเอง สอนเอง พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์
พระอรหันต์ ข้อเท็จจริง ถ้ามันเป็นความจริงๆ แล้วมันไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน มันเป็นทางเดียวกัน แล้วมันมีความสุขความร่มเย็นนะ ความสุขความร่มเย็นเพราะอะไร เพราะมันเป็นวิมุตติสุขในหัวใจดวงนั้น ถ้ามันเป็นวิมุตติสุขในหัวใจดวงนั้นแล้วเหมือนกันหมด พระอรหันต์เหมือนกันหมด มันจะไปขัดไปแย้งอะไรกัน พระอรหันต์ก็คือพระอรหันต์ไง
ถ้ามันจะขัดมันจะแย้ง มันจะขัดจะแย้งเพราะมันไม่ใช่ ถ้ามันไม่ใช่มันก็เป็นกรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์ถ้าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เราก็เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานะ เราก็มีเวรมีกรรมของเรา เห็นไหม ถ้าเรามีเวรมีกรรมของเรา แต่เราก็มีอํานาจวาสนาของเราขึ้นมา เพราะเรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา
คนเกิดมาเป็นมนุษย์มากมาย ไม่มีโอกาสได้นับถือพระพุทธศาสนา แล้วก็คนนับถือพระพุทธศาสนามากมาย เขาบอกเขาไม่มีเวลา เขามีความทุกข์ความยากอยู่แล้ว เขาประกอบสัมมาอาชีวะมีหน้าที่รับผิดชอบมากมายมหาศาล เวลาที่จะเจียดมาประพฤติปฏิบัติแทบไม่มีเลย แล้วในการประพฤติปฏิบัติก็ไม่กล้าประพฤติปฏิบัติ
นี่วาสนาของคนนี่แหละ วาสนาของคนไม่กล้าประพฤติปฏิบัตินะ ไม่กล้าหลับตาลง ถ้าหลับตาลงนั้นกลัวผิดกลัวพลาด กลัวจะเสียจริตนิสัย กลัวไปหมดล่ะ เพราะอะไร เพราะวุฒิภาวะอ่อนด้อยอย่างนั้นไง
แต่ถ้าคนมีอํานาจวาสนา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาแล้วเรายังมีอํานาจวาสนา เราจะออกประพฤติปฏิบัติ ออกค้นคว้าหัวใจของเราๆ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตตภาวนาเอาหัวใจนี้เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาจะเอาหัวใจที่เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วหัวใจอยู่ที่ไหนล่ะ? หัวใจอยู่ไหน?
คนเกิดมามีกายกับใจๆ แต่สิ่งที่มีคุณค่าในพระพุทธ-ศาสนาท่านเน้นลงไปที่หัวใจนั้น เน้นลงไปที่นามธรรม นามธรรมในหัวใจนั้น
แต่ถ้าเป็นทางโลก สิ่งที่เป็นนามธรรมมันจับต้องไม่ได้ เน้นลงที่ร่างกายนี้ไง เวลาคนเกิดมาอุแว้ๆ เกิดมานี่ เกิดมาเป็นทารกเป็นสิ่งมีชีวิต เวลาตายไปนี่จิตออกจากร่างไปนี่ซากศพ เน้นสิ่งที่เป็นวัตถุที่จับต้องได้ในทางโลก ในทางโลกๆ ไง แต่เวลาสุขเวลาทุกข์นี่มันทุกข์ที่หัวใจ มันทุกข์ที่ความรู้สึกนึกคิดอันนี้
ร่างกายนี่มันเป็นแค่ธาตุ ๔ นี่ ธาตุ ๔ มันถ้ากินอิ่มนอนอุ่นมันก็ปกติธรรมดาของมัน แต่ถ้ามันขาดสารอาหารมันก็หิวกระหายก็หิวกระหาย แต่หิวกระหายก็หิวกระหายจากหัวใจของเราต่างหาก มันไม่ได้หิวกระหายจากร่างกายนั้น เพราะร่างกายมันเป็นธาตุ สิ่งที่ว่ากายกับใจ กายกับใจในพระพุทธศาสนา เวลาเน้น เน้นที่หัวใจนี้
ถ้าเน้นที่หัวใจนี้ เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่ความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อถือศรัทธาจากหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้มีศรัทธามีความเชื่อของเราไง ศึกษามาแล้วก็อยู่ที่อํานาจวาสนา ถ้าอํานาจวาสนาเวลาจะออกประพฤติปฏิบัติไง จะออกประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เราจะประพฤติปฏิบัติเพื่อหาหัวใจของเราๆ ทําความสงบของใจเข้ามา
ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีลมีธรรม เห็นไหม นี่รักษาศีลๆ เวลาพระทั่วไปเวลาเขาเทศน์บอก “พระกรรมฐานนี่ไม่เทศน์เรื่องศีลก่อน” ศีลคือความปกติของใจ ศีลโดยธรรมชาติของชาวพุทธ ชาวพุทธต้องมีศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ โดยธรรมชาติของมนุษย์ ถ้ามนุษย์มันมีของมันอยู่แล้ว นี่ศีลก็คือศีลไง
เรามาอารัมภบทเรื่องศีลๆ เรื่องศีลนี่ เรื่องศีลมันเป็นข้อเท็จจริง ถ้าเราทําผิดมันก็ผิดศีล มันก็เป็นบาปเป็นกรรม ถ้าทําถูกนะ ศีล ๕ ธรรม ๕ ถ้ามีศีล ๕ ขึ้นมาแล้วเราไม่ผิดศีล ๕ เรายังมีธรรม ๕ อีกต่างหาก เรามีเมตตากรุณากับสัตว์ เราไม่มีลักทรัพย์ของใคร เราไม่ผิดลูกเมียของใคร เราดูแลรักษาให้ เราไม่พูดจาโกหกมดเท็จ แล้วก็สอนให้คนอื่นไม่โกหกมดเท็จด้วย แล้วไม่เอาสิ่งมึนเมาต่างๆ เข้ามาในร่างกายของเรา
สิ่งมึนเมาต่างๆ ธรรมเมา ธรรมเมาไง เมาในธรรมะ ธรรมะของใครก็ไม่รู้ แต่เวลาธรรมะของเรา ธรรมะของเราไง ธรรมะของเรานี่ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อ ความเชื่อในพระพุทธศาสนา เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยของเรา รัตนตรัยของเรา รัตนตรัยคือแก้วสารพัดนึกไง
ถ้าแก้วสารพัดนึกขึ้นมานี่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เวลาเป็นพระโสดาบัน เห็นไหม นี่ไม่ถือมงคลตื่นข่าวใดๆ ทั้งสิ้น เข้าถึงสัจธรรมๆ ไง ถ้าเข้าถึงสัจธรรมในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหัวใจมันผ่องแผ้ว มันรื่นเริง มันอาจหาญ มันมีความพอใจของมันไง เพราะเกิดมาชาตินี้แล้วไม่เสียชาติเกิด นี่เกิดมาชาตินี้ๆ เกิดมาชาตินี้ชาติหนึ่งนะ
เวลาเราเกิดเป็นคน เราก็นับวันเดือนปีได้ เวลาเราเกิดมา เราเกิดมาตั้งแต่ทารก เกิดมามีการศึกษาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น แล้วศึกษาแล้วมีหน้าที่การงานของเรา แล้วต่อไปทํางานจนทั้งชีวิตไง แก่เฒ่า เห็นไหม ใช้เงินออมไง ออมไว้แก่เฒ่าจะได้ไม่ต้องทุกข์ยากจนเกินไป แล้วก็สิ้นชีวิตไป
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของมันอยู่แล้ว แล้วสัจจะความจริงของมันอยู่แล้วไง เวลาไปงานศพๆ ไง นี่ชักผ้าบังสุกุลๆ ไง อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารไม่เที่ยงหนอ ถ้ามีความประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ เตสํ วูปสโม สุโข นี่ชักผ้าบังสุกุล เขาก็สอนนั่น มันเป็นอุบายวิธีการให้เราได้สํานึกนึกคิดไง ถ้ามันนึกคิดได้ คนเรามันนึกคิดได้นะ พอนึกคิดได้เวลาถ้าจะประพฤติปฏิบัติ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างน้อยพระอนาคามี พระอนาคามีก็ไม่มาเกิดในโลกนี้อยู่แล้ว พระอนาคามีไปเกิดบนพรหมนู่น แล้วถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ สิ้นกิเลสเลย เวลาสิ้นกิเลสนั่นเป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าเป็นสัจจะเป็นสัจธรรมในพระพุทธศาสนา
แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านถึงได้วางวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติไว้ให้เราจะประพฤติปฏิบัติกัน ให้เราประพฤติปฏิบัติกันเพราะอะไร เพราะท่านต้องการธรรมทายาทไง
คนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีบุญกุศลของเขานะ แล้วเวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ หลวงตาพระมหาบัวท่านสิ้นกิเลส กราบแล้วกราบเล่าๆ มันซาบซึ้งบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต พระพุทธเจ้ากับหัวใจของเรามันเป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันเพราะอะไร
เพราะพระอรหันต์เหมือนกัน พระอรหันต์วิมุตติสุขเหมือนกันหมด สัจธรรมอันนั้นมันเป็นอันเดียวกันทั้งสิ้น กราบแล้วกราบเล่าๆ กราบด้วยบุญด้วยคุณไง ด้วยบุญด้วยคุณด้วยหัวใจที่เป็นธรรม หัวใจที่เป็นธรรมมันลงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลงด้วยหัวใจที่เป็นจริงตามข้อเท็จจริงนั้น
ถ้าตามข้อเท็จจริงนั้น เพราะคําว่า “ลง” คําว่า “ลง” มันไม่ขัดไม่แย้ง แล้วมันไม่เสนอแนวทางที่แตกแยกออกไป แม้แต่พระโสดาบันก็ไม่ถือมงคลตื่นข่าวแล้ว
มงคลตื่นข่าวก็กระแสสังคมไง เสียงเล่าเสียงลือไง นี่ไง กระต่ายตื่นตูมๆ ฟ้าถล่มๆ มงคลตื่นข่าว ฟ้าถล่ม หนีตายกัน โอ้โฮย! หนีตายกันจนไปตกเหวตกร่อง บาดเจ็บสาหัส ตายกันเป็นเบือ มีราชสีห์ไง หยุดก่อนๆ ฟ้าถล่มๆ ที่ไหนมันถล่ม ถ้าที่ไหนมันถล่มกลับไปพิสูจน์ก่อน พอกลับไปพิสูจน์นะ ลูกตาลมันหล่นใส่ต้นตาล เสียงมันดังเหมือนฟ้าผ่า กระต่ายตื่นตูม ฟ้าถล่มๆ ไง ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่เชื่อสิ่งใดง่ายๆ นี่ไงเราไม่เชื่อเขา สัจธรรมก็สัจธรรมของเขา
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ เวลาท่านเทศนาว่าการมันจิ้มเข้ามาในหัวใจเลย แล้วเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ พระอรหันต์แสนกัป เขามีบุญกุศลมากน้อยขนาดไหน ในการประพฤติปฏิบัติเขามีอํานาจวาสนามากน้อยขนาดไหน ถ้าเขามีอํานาจวาสนาของเขานะ เขามาฝึกหัดของเขา
หลวงปู่ขาวท่านพูด “อบรมบ่มเพาะสองแสนคนได้สักสองคนไหม” สองแสนคน ฉะนั้น เวลาท่านเจอคน ท่านหนีหมดล่ะ เพราะอะไร เพราะนี่มันมงคลตื่นข่าว เสียงรํ่าเสียงลือ นักล่า ล่าพระอรหันต์ ล่า! ไปล่า ไปล่าก็มงคลตื่นข่าว ล่าเอาบุญเอากุศล เอาลาภสักการะ เอาเลขเอาหวย เอาต่างๆ ไง เวลาหลวงตาพระหาบัวท่านสั่งหลวงปู่ลีเลยนะ “เวลาออกไปวิเวก หนึ่ง ห้ามให้หวยเด็ดขาด ห้ามเทศน์ ห้ามก่อสร้าง” สั่งเด็ดขาด! เพราะการก่อการสร้างมันเป็นความกังวล มันเป็นความกังวล มันต้องไปดูไปแลไง
แต่เวลาเป็นครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกวิเวกของท่านมาก่อน พระธาตุพนมท่านก็เป็นคนไปพบ ไปพบท่านก็พัฒนาของท่านไว้ แล้วท่านบอกว่า “เดี๋ยวเจ้าของเขาจะมาดูแลเอง” คือท่านไม่ติด ท่านไม่ติดในการก่อสร้าง ในการบูรณะต่างๆ เขาทําเท่าที่มีไง เขาทําเท่าที่มี เขาระดมจากชาวบ้าน ชาวบ้านมีพร้ามีจอบมีเสียมก็มาช่วยกันบูรณะ เสร็จแล้วทําให้มันสะอาดแล้วก็กลับบ้าน แล้วเราก็ดูแลรักษาอย่างนั้น เวลาเป็นธรรมนะ การก่อการสร้างในฝ่ายกรรมฐานที่เป็นธรรมมันไม่เดือดร้อน ไม่กวนบ้านไม่กวนเมือง ไม่ชักหน้าชักหลัง ไม่ทําให้โลกวุ่นวาย ไม่เบียดเบียนใครทั้งสิ้น
เวลาถ้ามันเป็นจริงนะ ห้ามเทศน์ ห้ามให้หวย ห้ามก่อสร้าง เพราะต้องการเอาพระ เวลาจะเอาพระๆ เวลาพระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมาได้ เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านชมเศรษฐีธรรมๆ ไง เศรษฐีธรรมเพราะอะไร เพราะท่านปฏิบัติของท่านตามความเป็นจริงของท่าน เอาจริงเอาจังขึ้นมาในการประพฤติปฏิบัตินั้น
ในการประพฤติปฏิบัตินั้น เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญาถ้ามันเกิดขึ้นมันเกิดมรรคเกิดผล เวลาเกิดมรรคเกิดผลนะ เวลาภาวนาขึ้นมาแล้ว มันมีความสุขความสงบในหัวใจดวงนั้น ถ้ามีความสุขความสงบในหัวใจดวงนั้น มันเป็นผลของความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะในการประพฤติปฏิบัตินั้น ถ้าความเพียรในการประพฤติปฏิบัตินั้นเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมาเป็นของจริง
พระอรหันต์ในสมัยกึ่งกลางพระพุทธศาสนานี่ก็มีมากมายพอสมควร โดยการอบรมบ่มเพาะในการคุ้มครองดูแลมาจากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น นี่ข้อเท็จจริง
แต่หลวงปู่มั่นท่านพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว “ต่อไปมันจะมีผู้แซงหน้าแซงหลังไง ผู้ที่เดินตามมาก็มี ผู้ที่เดินตามมาคือผู้ที่ลงในธรรมและวินัย ลงในธรรมและวินัยถ้าจิตใจที่เป็นธรรม”
ศีล ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน ธรรม ธรรมรู้ได้ต่อเมื่อแสดงธรรม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตตมํ มันเป็นธรรมจริงหรือเปล่า ธรรมของใคร นี่ไง ถ้ามันลงในศีลในธรรมจะเดินตามร่องรอยของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ไม่แซงหน้าแซงหลัง เดินตามร่องตามรอยมันเคารพมันบูชาไง หลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่ลี เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามาๆ” มันซาบซึ้งบุญคุณอันนั้นนะ เวลาผู้ทํางานๆ เวลาที่คิดงานทํางาน ถ้ามันตันคิดงานแล้วคิดไม่ออกมันพยายามแสวงหาคนชี้แนะคนชี้บอก นี้คิดงานนะ
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะแสวงหา เราพยายามจะหาหัวใจของตน เราแสวงหาหัวใจของตน แต่ทําไมมันหาไม่เจอล่ะ มันหาไม่เจอเพราะมันมีกิเลส มันปลิ้นมันปล้อนในหัวใจไง กิเลสในหัวใจมันปลิ้นมันปล้อน มันหลอกมันลวง กิเลสเจ้าวัฏจักร สัตว์โลกอยู่ในอํานาจของมันทั้งหมดทั้งสิ้น
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติจะพ้นจากนํ้ามือของมันไป ในพระไตรปิฎกนะ พญามารมันครํ่าครวญเลย “เจ้าชายสิทธัตถะจะพ้นจากมือเราไปๆ” ครํ่าครวญคอตกเสียใจมาก แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกที่จะพ้นจากพญามาร ครํ่าครวญนะ เวลาลูกมาเห็นเข้าไง ลูกของพญามาร เห็นไหม ความโลภ ความโกรธ ความหลง นางตัณหา นางอรดี “ไม่ต้องกลัว พ่อ! เดี๋ยวหนูจะจัดการเอง”
เป็นไปไม่ได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณ เห็นไหม สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติมานี่สมุจเฉทปหาน เห็นไหม มรรคญาณนี่สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในหัวใจขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันชําระล้างจบสิ้นไปแล้ว
เวลากิเลสในหัวใจของสัตว์โลกๆ มันร้ายนักๆ ถ้ามันร้ายนัก ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมาต้องมีอํานาจวาสนา มีอํานาจวาสนา เห็นไหม ถ้ามีอํานาจวาสนามันก็มีสัจจะ ๑. มีสัจจะ มีสัจจะมีกตัญญู มีการรู้คุณ ถ้ามันเป็นธรรม ถ้ามีนิสัยพื้นฐานเป็นแบบนี้ เวลาจะประพฤติปฏิบัตินะ มันมีโอกาส
เวลามีโอกาสขึ้นมา เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านพยากรณ์ไว้เลย ผู้ที่เดินตามมา ผู้ที่เดินตามเคารพบูชาครูบาอาจารย์ การเคารพบูชาครูบาอาจารย์ จิตใจมันอ่อนน้อมถ่อมตน มันประพฤติปฏิบัติมันมีโอกาสได้มากเลย มันไม่กะล่อน มันไม่ปลิ้นปล้อน มันไม่โกหกมดเท็จไง
คนผู้ใดนี่ศีล ๕ พูดจายังโกหกมดเท็จ ปฏิบัติจริง หรือไม่จริง ได้หรือไม่ได้ แสดงธรรมแล้วนะ นั่นแหละโกหกมดเท็จ ผู้ที่โกหกมดเท็จจะไม่ทําความชั่วอย่างอื่นต่อๆ ไปไม่มีเลย ไม่มี! มันแซงหน้าแซงหลังๆ
แต่ถ้าเป็นความจริง ผู้ที่เดินตาม เดินตามมา ครูบาอาจารย์ของเราบารมีท่านยิ่งใหญ่ ถ้าบารมีท่านไม่ยิ่งใหญ่ท่านไม่สามารถพยายามฝึกฝนใจของท่านเอง พยายามฝึกฝนใจของท่านเองนะ
กิเลสมันกะล่อน มันปลิ้นมันปล้อน มันพลิกมันแพลงในหัวใจนี่ร้ายนัก ก็กิเลสมันเป็นเรา ดูเราสิ ตื่นเช้ามาเราอยากจะทําอะไรบ้าง กิเลสเรามันเรียกร้องอะไรบ้าง แล้วมันเป็นเรา เวลาเราอยู่ทางโลก เวลาเขาตื่นมาเขาอยากมีสุขภาพจิตดี เขาอยาก เขาคิดของเขาไปหมดล่ะ กิเลสมันเป็นเรา แล้วกิเลสมันเป็นเรา แล้วจะหามันอย่างไร กิเลสมันเป็นเรา ก็เราคิดอย่างนั้น
แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กิเลสมันก็เป็นเราเหมือนกัน กิเลสมันเป็นเราเหมือนกัน แล้วจะค้นหามันอย่างไร?
เวลาในการศึกษา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เวลาปริยัติขึ้นมา นี่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค ศึกษานั่นแหละ ศึกษาก็มันเป็นเราไง ศึกษาโดยกิเลสไง เพราะศึกษาจบแล้วเข้าใจธรรมะนะ แต่กิเลสไม่เห็นมัน รู้มันไม่ได้ เห็นมันไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์เห็นกิเลสของตน แต่ศึกษาเรื่องกิเลสนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาเป็นพระโสดาบันนี่ชําระล้าง สมุจเฉทปหาน ฆ่า ทําลายสังโยชน์ ๓ เวลาประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องไปทําลายสังโยชน์ ทําลายกามราคะปฏิฆะอ่อนลง เวลาศึกษาต่อเนื่องไป เห็นไหม ปฏิฆะ กามราคะขาด เวลาประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องไป รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ขาดหมดเลย
อยู่ที่ไหนล่ะ? อยู่ในพระไตรปิฎก แล้วก็เชื่อมาก “มันหมดยุคแล้วมั้ง มันไม่น่าจะทําได้หรอก ยิ่งสมัยปัจจุบันนี้คนจะมีความสามารถขนาดนั้นมันคงไม่มี” นี่ศึกษาเรื่องกิเลสนะ ศึกษาธรรมะนะ นี่ปริยัติ
เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีอํานาจวาสนาขึ้นมา เวลาคนมีอํานาจวาสนามันมีอุดมการณ์ มันมีความมุมานะ มันมีความตั้งใจของเขา แล้วตั้งใจของเขา เชื่อมั่นในตนเองมาก พอเชื่อมั่นในตนเองมากนะ พยายามฝึกฝนของตน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติทุกข์ยากมาก คําว่า “ทุกข์ยากมาก” ไง เริ่มต้นจากการปฏิบัติมันก็ปฏิบัติจากปุถุชนเรานี่แหละ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ คนเกิดทั้งสิ้นมีอวิชชาทั้งหมด ไม่มีกิเลสไม่มีการมาเกิดหรอก
ไอ้ที่ว่าไม่มีกิเลสแล้วมาเกิด มันเป็นไปไม่ได้หรอก พูดผิดพูดถูกขนาดนี้นะ คนยังเชื่อก็แปลกมากนะ “ไม่มีกิเลสแต่มาเกิด เกิดมาสร้างบารมี” เอ้อ! ก็มีคนเชื่อ เอ้อ! แปลก ถามพวกศึกษาจบ ๙ ประโยคว่า “มันเป็นไปได้ไหม ในปริยัติในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นไปได้ไหม” นี่ทางวิชาการมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนคนวิเศษเป็นอยู่คนหนึ่ง แต่นี่ไง คนเกิดมามีอวิชชาทั้งสิ้น มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งสิ้น
พอมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งสิ้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติ ท่านก็ออกประพฤติปฏิบัติโดยความเป็นปุถุชนนั่นแหละ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ พระโพธิสัตว์ก็ปุถุชน พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์มีอํานาจวาสนามากน้อยขนาดไหน ถ้าได้สร้างมากขึ้นมาความเป็นพระโพธิสัตว์นั้นจะเข้าฌานสมาบัติได้ง่ายขึ้น แล้วจะเที่ยงตรงมากขึ้น แต่ถ้าเริ่มต้นจากพระโพธิสัตว์ที่บารมียังไม่ถึงระดับสูง การเข้าฌานสมาบัติก็ยากหน่อยหนึ่ง แล้วสิ่งที่พยากรณ์นั้นมันก็คลาดเคลื่อนได้มากกว่า
นี่พูดถึงว่า ความเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วเวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันก็เป็นปุถุชน ปุถุชนคนหนามันก็จับต้องอะไร มันจะค้นหาจิตตรงไหน มันจะทําอย่างไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เวลาอยากบวชก็อยากบวช ก็ด้วยอํานาจวาสนาทําให้อยากบวช พอบวชมาแล้ว บวชมาเป็นพระ หลวงปู่เสาร์ท่านก็พาออกวิเวก ออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พรรษาหนึ่ง พรรษาสอง ต่อสู้กับกิเลสในใจของตนๆ ทําความสงบได้หรือไม่ได้ ถ้าทําความสงบได้มันก็มีความสุขของเรา ถ้าทําความสุขของเราได้ เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบระงับ เออ! หัวใจของเรา กิเลสมันสงบตัวลงถึงทําสัมมาสมาธิได้ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ปัญญา กิเลสมันปลิ้นมันปล้อน มันหลอกมันลวง มันป้อนให้เยอะแยะไปหมดล่ะ
นี่พูดถึงว่าปัญญาๆ ไง ถ้ามันปัญญา ปัญญาอะไร?
ปัญญามันสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน มันมีสมถ-กรรมฐานของท่าน พอมีสมถกรรมฐานจิตมันตั้งมั่นแล้ว ตั้งมั่นแล้วได้อะไร? เข้าสมาธิ ออกจากสมาธิแล้วจิตเป็นอย่างไร? จิตมันดีขึ้นหรือจิตมันเสื่อมไป? แล้วจิตถ้ามันดีขึ้น มันดีขึ้นอย่างไร? แล้วมันตั้งมั่น มันตั้งอยู่อย่างไร? แล้วตั้งอยู่อย่างไรแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาอย่างไร?
ถ้าวิปัสสนาขึ้นมาแล้ว เวลาวิปัสสนาไปแล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความทุกข์ความยาก ความยึดมั่นถือมั่นในใจมันจางคลายลงบ้างหรือไม่ ถ้ามันจางคลายลงมา เห็นไหม มันมาถูกทางหรือไม่ถูกทาง เนี่ยแสวงหาค้นคว้ามานะ เวลาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมาๆ ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาด้วยความเป็นจริงของท่าน ความจริงของท่านท่านถึงรู้ถึงเห็นไง
เวลาถึงรู้ถึงเห็น ท่านถึงเห็นว่า “จิตแก้ยากนะๆ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติให้ปฏิบัติมา ผู้เฒ่าจะแก้ๆ” ถ้าผู้เฒ่าจะแก้ ผู้เฒ่าก็ซื่อสัตย์ เวลาเข้าไปอบรมบ่มเพาะ เวลามีความสงสัยมีอะไรขึ้นไปกราบเรียนท่าน ท่านก็จะบอกวิธีการบอกให้ บอกให้ๆ แล้วให้เราทําตาม แต่กิเลสเป็นเรา “อู้ย! ฉันปฏิบัติมาถูกต้องแล้ว ถูกต้องชอบธรรมทั้งนั้น” เดี๋ยวมันเสื่อมหมดล่ะ แล้วมันเสื่อมหมดแล้ว ค่อยมาเจ็บชํ้านํ้าใจทีหลัง เชื่อท่านตั้งแต่ต้นก็ดี ไม่เชื่อท่านเอง
ถ้ามันเจริญแล้วเสื่อมมันยืนยันกับผู้ที่ปฏิบัตินั้น คนเราถ้ามีความสุขมันก็เป็นความสุขของคนคนนั้น เวลาจิตมันเสื่อมไปแล้วมันร้อนอย่างกับไฟ เวลาร้อนอย่างกับไฟ เวลามันร้อนแล้วมันอยู่ที่ไหนมันก็อยู่ไม่ได้ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านคุ้มครองดูแล เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ท่านจะบอก “เป่ากระหม่อมเรามาๆ” ก็คอยคุ้มครองคอยดูแล ผิดขนาดไหนก็รั้งไว้ ดูแลรักษาไว้ แล้วถ้ามันออกได้ มันพิจารณาได้ มันก็จะก้าวหน้าไป ถ้าออกไม่ได้ ออกไม่ได้ก็ไม่ให้มันถอย ไม่ให้มันตํ่าลงไปกว่านี้ไง
นี่คุ้มครองดูแลมาๆ ถ้ามันเป็นจริง แล้วท่านรู้ท่านเห็นหมดล่ะ ผู้ที่เดินตามมามันก็มี เดินตามมาเป็นร่องเป็นรอย ผู้ที่เป็นธรรม แต่มันมีน้อย ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังมันเยอะ แซงหน้าแซงหลังมันแซงไปหมด มันแซงหน้าและแซงหลังมันเลยไม่รู้จักตัวเอง ไม่เห็นกิเลสของตัวเอง แล้วแสดงธรรมนะ ไม่รู้ธรรมะของใคร เพราะมันแสดงธรรม ถ้ามันไม่ใช่ความจริง มันจะเข้าสู่ความจริงไม่ได้
หลวงตาพระมหาบัวท่านพูดนะ “ไม่รู้ถามไม่ได้นะ ไม่รู้ถามไม่ได้” เพราะมันพูดถึงกิเลสที่มันอยู่ในใจของตน มันยังพูดไม่ถูกเลย แล้วมันจะตอบได้อย่างไร ไม่รู้ถามไม่ได้ คําถามผิดตั้งแต่เอ็งพูดแล้ว แล้วเวลาตอบ ไปไหนมาสามวาสองศอก เพราะอะไร เพราะมันไม่รู้! เพราะอะไร เพราะมันแซงหน้าแซงหลังไง มันแซงกิเลสไป มันถึงไม่เห็นกิเลสไง
ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ เวลาจิตสงบแล้วๆ พยายามค้นคว้า การประพฤติปฏิบัติมันมีหนักมีเบา เวลาหนักควรหนัก คําว่า “หนักควรหนัก” คือ จิตที่มันฟุ้งซ่าน จิตที่มันทุกข์มันยาก เราจะต้องเข้มข้นกับมัน เวลาจะหนักนะ เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา เราไม่ได้ประชดประชันใครทั้งสิ้น เราไม่ได้ทําลายใครทั้งสิ้น เราแสวงหาไง กิเลสเป็นเราๆ เราจะแสวงหา เพราะกิเลสเป็นเรา เราถึงไม่รู้จักมัน แล้วไม่เห็นมัน แล้วแก่นของกิเลส กิเลสมันพลิกมันแพลง มันปลิ้นมันปล้อน
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรอดพ้นจากมือมารเป็นพระองค์แรก มันยังดิ้นรนเรียกร้องขนาดนั้น แล้วปุถุชนอย่างพวกเรา ปุถุชนอย่างผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันไม่หลอกไม่ล่อ ไม่กะล่อนไม่ปลิ้นปล้อน มันเป็นไปไม่ได้ แล้วมันหลอกมันล่อ มันปลิ้นมันปล้อน มันก็เป็นนิสัยเป็นสันดานของกิเลส
กิเลสนั้นหน้าที่ของมันคือการทําลายผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่จะพ้นจากมือมันไป
เวลามันกะล่อนมันปลิ้นมันปล้อนมันเป็นกิเลสมันเป็นชั้นเชิงของมัน มันกะล่อนมันปลิ้นมันปล้อนบนหัวใจของเรา พอมันกะล่อนมันปลิ้นมันปล้อนบนหัวใจของเรา เราดันไปเชื่อมัน เพราะมันเป็นเรา ดันไปเชื่อมัน แล้วศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ผู้ที่ศึกษา ศึกษามาโดยปริยัติ ศึกษาโดยกิเลส ศึกษานั้นคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่จริงๆ มันก็ไม่เชื่อ มันไม่เชื่อว่ามรรคผลมีจริงนะ
“โธ่! ถ้ามรรคผลมีจริง มีจริงตรงไหน?”
มีจริงตรงที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านเอง กิเลสเป็นเราๆ เราเป็นกิเลส มันไม่รู้ไม่เห็นขึ้นมา ท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่าน จนจิตสงบขึ้นมาแล้วก็ขุดคุ้ยค้นคว้าหาจนเจอกิเลสของตน แล้วพิจารณากิเลสของตนเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๔ คู่ จนถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ไป ถึงที่สุดแห่งทุกข์ไปแล้วมันพิสูจน์กันได้ในพระไตรปิฎกไง และในพระไตรปิฎกมันเป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว แล้วปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมา มันมหัศจรรย์
เวลาปฏิบัตินะ เวลาล้มลุกคลุกคลานนี่ล้มลุกคลุกคลานมาก แต่เวลามันประพฤติปฏิบัติจนได้นํ้าได้เนื้อ ประพฤติปฏิบัติไปจนเป็นสัจจะเป็นความจริงในใจแล้ว สัจธรรมมันกังวานกลางหัวใจนะ ธรรมะมันแสดงกลางหัวใจ มันมหัศจรรย์กว่าในตํารามากมาย ในตํารามันเป็นในตํารา ตํารานี้เป็นธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของเรา แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมามันเกิดจากสัจจะความจริงของเราขึ้นมา มันกังวานกลางหัวใจ มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ตรงไหน
จิตที่มันดื้อมันด้านทําความสงบไม่เป็นก็ทําไม่ได้ เวลาจิตที่มันจะทําความสงบขึ้นมาทําไม่เป็นขึ้นมา มันไม่มีที่ยึดที่เหนี่ยวขึ้นมาก็มีวัตร ข้อวัตรปฏิบัติไว้ให้เป็นธรรมทายาท เพราะเราก็เคยทุกข์เคยยากอย่างนั้นมาก่อน เวลาเราประพฤติปฏิบัติมาจนจิตมันสงบระงับแล้วมีหนักมีเบาขึ้นมา เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นไหม เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง นี่เห็นกิเลส เพราะมันเห็นกิเลสไง
กิเลสนะ กิเลสเป็นฟาร์มกิเลสเลย กิเลสเป็นเหมือนฟาร์มเลย มันยิ่งมันใหญ่ มันมากมายมหาศาล แต่ไม่เคยเห็น ไม่รู้จัก เพราะไม่เคยเห็นไม่รู้จักไง กิเลสฟาร์มนะ ฟาร์มกิเลส แล้วฟาร์มอะไรล่ะ จะเป็นฟาร์มไก่ จะเป็นฟาร์มวัว ฟาร์มโค ฟาร์มอะไร จะเป็นฟาร์มปิดหรือฟาร์มเปิด ฟาร์มกิเลสมันมีลูกมีหลาน มีพ่อมีแม่ มีปู่มีย่า มีตามียาย มากมายมหาศาล เพราะอะไร
เพราะเวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาทําลายหลานนี่โสดาบัน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพต-ปรามาสไง เวลาทําลายไปแล้วนี่หลานของมัน แล้วลูกของมัน กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลง นางตัณหา นางอรดี ความโกรธ ความโลภ ความหลง เวลาชําระล้างทําลายมันแล้ว มันเจอวัฏจักรไง เจ้าวัฏจักร รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ถ้าจับต้องมันได้เห็นมันได้ เวลาใช้มรรคญาณทําลายอวิชชา ถ้าเป็นความจริงนี่ครอบครัวของมาร
เวลาครอบครัวของมาร ถ้ามันไม่รู้ไม่เห็นของมัน กิเลสฟาร์ม กิเลสฟาร์มมันเลยเป็นฟาร์มยิ่งใหญ่ มันครอบงํา มันปลิ้นปล้อน มันหลอกมันลวง แล้วกิเลสเป็นเรา ฟาร์มทั้งฟาร์มอยู่ในใจของเราแต่ไม่เห็น แซงหน้าแซงหลัง มันแซงไปหมดเลย มันเลยไม่เห็น
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง แล้วท่านเห็น ท่านรู้ ทั้งรู้ทั้งเห็น แล้วประพฤติปฏิบัติจนตามความเป็นจริง ชําระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปมันเป็นธรรม มันไม่มีมารยาไม่มีสาไถย ชีวิตนี้มอบถวายได้เลย เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ นี่ไง เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านจะไปหาหลวงปู่มั่น เขารํ่าลือกันว่าดุมากๆ ท่านตั้งปฏิญาณเลย “พระอรหันต์จะทําร้ายใคร จะกลั่นแกล้งใคร จะใส่ไคล้ใคร ทําให้คนเสียหาย เป็นไปไม่ได้ๆ”
ท่านตั้งปฏิญาณเลยนะ “เราต้องไปหาหลวงปู่มั่น” ยิ่งดุ ยิ่งว่าดุ ยิ่งขับไล่ไสส่ง ต้องไปหาหลวงปู่มั่น แล้วเวลาไปก็เจอจริงๆ “มหามาหาอะไร ท่านมาหาอะไรล่ะ” เพราะอะไร
เพราะสิ่งที่ไปหาคือเจตนาที่ดีงาม แต่สิ่งที่ไปหาๆ ก็ไปหานิพพาน นี่ไง ศึกษาจนจบ ๓ ประโยคนะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบหมด แต่ศึกษาก็คือศึกษาไง ศึกษาโดยกิเลสไง ศึกษาโดยความเชื่อไง แต่กิเลสในหัวใจจริงหรือเปล่าวะ จริงหรือเปล่า แล้วจะปฏิบัติๆ นี่ขนาดว่าคนตั้งใจจริงๆ นะ เวลาไปเจอก็ไปเจอของจริงทั้งสิ้น ไปเจอของจริง
แต่ท่านบอก “เจอของจริงแต่มันเป็นบวกหมดเลย เพราะท่านพูดถูกต้องชอบธรรมทั้งสิ้น ท่านพูดถูกต้องชอบธรรมทั้งสิ้นเพราะท่านเป็นพระอรหันต์”
แต่ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลัง เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว“ก็วางหมดแล้ว เราวางแล้ว ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม พอมันเป็นธรรมมันก็มีความสุข เราไม่ต้องขวนขวาย ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องเรียกร้อง”
กิเลสฟาร์ม มันมีฟาร์มเลยนะอยู่ในหัวใจ ยังไม่ต้องเรียกร้อง ไม่ต้องดิ้นรนด้วยนะ ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังน่ะ มันไม่มีหลักการใดๆ ทั้งสิ้น มีหลักการเดียวเท่านั้น สอพลอโลก โลกเป็นใหญ่ ถ้าจะปฏิบัติก็ยกย่องยกยอปอปั้น ยกยอปอปั้นมันก็ได้ยกยอปอปั้นไง แล้วมันได้อะไร แซงหน้าแซงหลังแซงจากธรรมะออกไปสู่โลก นี่ไงกิเลสฟาร์ม กิเลสฟาร์มนะ
ถ้าฟาร์มไก่ ฟาร์มไก่มันก็มีลูกไก่ แล้วจะเลี้ยงไก่เนื้อหรือจะเลี้ยงไก่ไข่ ถ้าเลี้ยงไก่แล้วมันจะมีอาหารไก่ นี่ไงไม่ต้องดิ้นรนไม่ต้องขวนขวาย ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมก็ขี้ไก่ไง ขี้ไก่นี่นะ เป็นปุ๋ยนะ เป็นประโยชน์นะ
นี่กิเลสฟาร์ม เพราะกิเลสฟาร์มแล้วมันไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ไม่เป็นประโยชน์กับผู้แซงหน้าแซงหลังแล้วแสดงธรรม ไม่เป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเพราะกิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลส มันชอบอยู่แล้ว ไอ้ที่ยกยอปอปั้นนี่ชอบอยู่แล้ว แล้วอยากจะปฏิบัติด้วย แล้วพอปฏิบัติแล้วมีคนมายกยอปอปั้นนะ“โอ๊ย! ปฏิบัติแล้วมีความสุขมาก” เขายอกิเลส เขายอกิเลสไว้ ปฏิบัติเพื่อบูชากิเลสไง
หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “ต่อไปข้างหน้า ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังมันจะมาก แซงหน้าแซงหลังไง ท่านพยากรณ์ไว้แล้ว ต่อไปวัดป่าจะเป็นวัดบ้าน วัดบ้านจะกลายเป็นวัดบ้า วัดป่าจะไปเป็นวัดบ้าน”
วัดป่า เห็นไหม เขาต้องการความสงบความสงัด เขาต้องการที่วิเวก สัปปายะ ๔ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบา-อาจารย์ของเราท่านไม่ยึดติดในที่วัดใดทั้งสิ้น ท่านอยู่ในป่าในเขาท่านอยู่เพราะสมัยนั้นมันเป็นสัปปายะ มันเป็นความอุดมสมบูรณ์ของป่าของเขา ประชากรก็ยังน้อย การจับทํามาหากินเขาก็ไม่รุกที่ที่มากมายมหาศาล
สงครามแต่โบราณมา เขาแย่งชิงประชาชน เพราะอะไร เพราะที่ดินว่างเปล่ามากมายมหาศาล แต่ไม่มีใครทํามาหากินถึงเขาทํามาหากินขึ้นมาเขาก็ทํามาหากินด้วยความยากลําบาก เพราะ เพราะไข้ป่ามันมาก แล้วเขาก็ไม่กล้าดําเนินการ
กองทัพธรรม กองทัพธรรมของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนี่แหละเป็นหลักคํ้าประกันกับการดํารงชีวิตของเขา กับการทํามาหากินของเขา นี่พูดถึงในทางสังคมนะ
แล้วถ้าในทางธรรม ทางธรรมล่ะ ถ้าทางธรรม ทางธรรมถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริง เวลาการประพฤติปฏิบัติ “เราวางหมดแล้ว” วางก็สัญญาเรานึกให้วาง “ถ้ามันวางแล้วมันก็มีความสุขความสงบ” ก็สงบสิ ก็ยกย่องตัวเองว่า “นี่เป็นนักปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมแล้วปฏิบัติธรรมก็มีความสุข มีความสุข” ความสุขก็สังคมยกยอปอปั้นไง
ถ้าเป็นการเดินตามนะ ผู้เดินตามมาก็มี ผู้เดินตามมาก็มี เห็นไหม ถ้ากิเลสเป็นเรา เราทําเพื่อบูชากิเลสของตน แล้วมันก็ได้สิ่งที่ความเป็นสังคมโลก จะบอกว่ามันไม่ได้สิ่งใดเลย มันก็ปฏิบัติ ปฏิบัติ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไง “อานนท์ เธอบอกบริษัท ๔ นะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย”
การทําบุญทํากุศลนี่มันเป็นอามิสบูชา ในการประพฤติปฏิบัติมันเป็นการปฏิบัติบูชา แต่การปฏิบัติบูชามันก็อยู่ที่อํานาจวาสนาของคนไง อํานาจวาสนาของคน อยากต้องการความสะดวก อยากต้องการความสบาย อยากต้องการครูบาอาจารย์ที่ยกย่องสรรเสริญ อยากต้องการความเป็นมิตรเป็นสหาย
แต่เวลาหลวงตาพระมหาบัวไง ข่าวรํ่าลือว่า “หลวงปู่มั่นไล่ออกหมดล่ะ ผิดไล่ออกเลยล่ะ แล้วมันน่ากลัวมาก” เวลาท่านได้ยินนะ “มันเป็นไปไม่ได้ที่พระอรหันต์จะติฉินนินทา หรือกลั่นแกล้งลูกศิษย์ลูกหา มันเป็นไปไม่ได้ เราจะต้องขึ้นไปหาท่านเดี๋ยวนี้” เก็บบริขารไปเลย นี่ไงเวลาไปแล้ว ท่านดุกิเลสไง
เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านเทศนาว่าการนะ เวลาท่านเปรี้ยงๆ ท่านบอกว่า “เราไม่ได้ว่าใครนะ เราว่ากิเลสคนฝั่งนู้นนู่น” เพราะอะไร เพราะกิเลสมันต่อมันต้าน “โฮ้! อุตส่าห์ขวนขวายมากราบครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์มีแต่ด่า! ด่า! ด่าอย่างเดียว”
เขาไม่ได้ด่ามึง เขาด่ากิเลส ด่ากิเลสคือความเห็นแก่ตัว คือความไม่เอาไหน คือการกระทําชีวิตเรายํ่าแย่ ถ้าชีวิตของเรา เราไม่มีสติปัญญา เราไม่ครํ่าครวญของเรา มันไม่เข้าถึงกิเลสไง เราถนอม เรารักษา เรายกยอ เราปอปั้นให้กิเลสมันขี่หัว ขี่หัวนักปฏิบัติอยู่กันอย่างนี้ แล้วมันว่าสิ่งนี้มันเป็นธรรม เป็นธรรมก็นี่ไงก็มันชอบไง ก็มันชอบ เพราะกิเลสเป็นเรา ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นนะ มันสังเวช มันสังเวชถึงคําพยากรณ์ของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น
ต่อไปข้างหน้า อนาคตข้างหน้า มันจะมีผู้แซงหน้าแซงหลัง แล้วผู้ที่แซงหน้าแซงหลัง เห็นไหม แซงหน้าแล้วมันเบียดเสียดไง สิ่งใดที่ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติท่านทําไว้ที่ดีแล้ว ทําไมไม่ส่งเสริม ไม่มีการกระทําต่อไป ทําไมจะต้อง... นี่สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านทําไว้นี่เป็นข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งนั้นมันสมควรต่อความเป็นอยู่ของพระกรรมฐาน
สิ่งที่เราทํา เราทํามันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งสิ้น ถ้าสิ่งที่เป็นเรื่องโลกๆ ทั้งสิ้นทําไปทําไม สิ่งที่ทําไป ทําไป แล้วก็ทําไปโดยถ้าเป็นมุมมองที่ดีงาม เขาบอกว่า ทําไปโดยที่ไม่รู้เท่าถึงการณ์ ทําไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การณ์ไหน! การณ์จะเอานั่นแหละ เพราะนี่ไงกิเลสฟาร์ม มันไม่เห็นกิเลสของตนไง
ถ้ามันเป็นธรรม ถ้ามันเป็นธรรมมันทําอย่างนั้นได้ไหม ถ้ามันเป็นธรรมเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านทํามา เพราะอะไร เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสิ้นกิเลสมา ครูบา-อาจารย์ที่ท่านสิ้นกิเลส สิ้นกิเลสเพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมมา การเป่ากระหม่อมมา ศีล สมาธิ ปัญญา
ในการประพฤติปฏิบัติมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ มันไว้กับโลกนี้ เราก็มากับโลก คนเกิดจากพ่อจากแม่ก็เกิดจากโลกทั้งสิ้น เพราะเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นว่าโลกนี่มันเป็นที่คลุกเคล้าเป็นที่คุ้นชินไง สิ่งที่มันสร้างเวรสร้างกรรมนี่ไง
เราก็ละจากโลกนี้มาเป็นพระ ถ้าบวช บวชมาเป็นพระแล้ว ถ้าเป็นพระ เห็นไหม เราเคารพบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราบวชมาแล้ว เราศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นพระ เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ลูกศิษย์กรรมฐานเขาทํากันอย่างไร นี่ไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงให้มีข้อวัตรปฏิบัติไง ผู้ที่เดินตามมา ผู้ที่เดินตามเดินตามด้วยความเคารพด้วยความบูชามันจะมีสัจจะ มีสัจจะขึ้นมา เห็นไหม
หลวงตาท่านพูดเลย “เทศบาล ๑ เทศบาล ๒ ธรรมะมันไม่เกิดหรอก ธรรมะไม่เกิดบนกระดูกหมู บนไก่งวง บนสิ่งที่มันเป็นอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ธรรมะไม่เกิดล่ะ” กิเลสเป็นเรา มันชอบ ที่นี่บรรยากาศดีมาก แหม! กระดูกหมูรสมันกลมกล่อม ภาวนายอดเยี่ยม โอ้โฮ! ไก่งวงนี่นะ แหม! มันสุดยอดเลย ภาวนาจะสิ้นกิเลสได้เลย ขอ ๒ ตัว
ธรรมะไม่เกิดในเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ ไม่เกิดบนกระดูกหมู กระดูกวัว ไม่เกิดแน่นอน มันเกิดในที่อัตคัดขัดสน อัตคัดเพราะอะไร เพราะกิเลสมันโดนขีดวง กิเลสมันต้องการความสะดวก ต้องการความสบาย กิเลสมันต้องการให้การประพฤติปฏิบัติของเราอยู่ในอํานาจของมัน อยู่ในการคุ้มครองของกิเลส กิเลสอนุญาตให้ทําได้แค่นี้ไง
พอทําได้แค่นี้ กิเลสก็สมประโยชน์ของกิเลส ไอ้คนที่ประพฤติปฏิบัติพอเป็นพิธีมันก็สมกับการปฏิบัติด้วยอํานาจวาสนาของตน มันไม่ต้องขวนขวาย ไม่ต้องดิ้นรน ไอ้พวกขวนขวายไอ้พวกดิ้นรนนั่นน่ะ นั่นน่ะพวกนั้นพวกขี้ทุกข์ขี้ยาก ไอ้เราบนกระดูกหมูอบนํ้าผึ้ง บนไก่งวงอบอย่างนี้ แหม! บรรยากาศสุดยอด แล้วภาวนานะมันเจริญพรๆ ยกยอปอปั้น
กรรมฐานเป็นอย่างนี้หรือ? กรรมฐานมาถึงยุคนี้แล้วใช่ไหม? กรรมฐานน่ะ
ถ้ากรรมฐานมันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันอยู่ที่วาสนานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยติฉินนินทาเรื่องศรัทธาไทย เรื่องศรัทธาของชาวพุทธ ศรัทธาของชาวพุทธนะ พระเจ้า-ปเสนทิโกศล น้องสาวหรือพี่สาวเสียชีวิต ถวายสมบัตินะ สมบัติของกษัตริย์ถวายพระมากมายมหาศาล
เวลาพระสีวลีมีลาภอันดับ ๑ อันดับสูงสุดของชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยติเตียนอะไรบ้าง เป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นอํานาจวาสนาของเขา เขาทํามา
คนที่มันประสบความสําเร็จ คนที่มีบุญกุศลต่างๆ เขาทําของเขามา ถือศีลๆ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ นี่ไง ใครมีศีลมีธรรมขึ้นมาของเขาได้ สร้างอํานาจวาสนาของเขามาได้ ฝังไว้ในพระพุทธศาสนา ได้ทําบุญกุศลของเขามา มันถึงมาเกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบันนี้เราทําสิ่งใดมันก็ประสบความสําเร็จ มันเป็นของจริง มันเป็นข้อเท็จจริง ใครไปปฏิเสธมัน ไม่มีใครปฏิเสธมัน มันเป็นความจริง
ถ้ามันเป็นความจริง เป็นข้อเท็จจริง มันก็คือความจริง ความจริงคือความสุจริต ได้มาโดยสุจริตโดยชอบธรรม ครูบา-อาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ครูบาอาจารย์ที่มีวาสนา เห็นไหม ลูกศิษย์ลูกหามากมายมหาศาล แล้วสิ่งใดเขาทะนุถนอมครูบาอาจารย์ของเขา
แต่ถ้าไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังมันไม่ใช่ มันกิเลสฟาร์ม กิเลสฟาร์มมันเป็นฟาร์มเลยนะ แต่ไม่เห็น ถ้าเห็นนะ เห็นเราต้องขีดวงเข้าไว้ นี่ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ถ้ากิเลสไม่สงบตัวลงเป็นสมาธิไม่ได้ คนที่ทําสมาธิได้คือจิตสงบ กิเลสมันสงบตัวลง
เวลาปุถุชนคนหนานะ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร คนหนา รูป รส กลิ่น เสียง ไปยกยอปอปั้นเขาก็รูปรสกลิ่นเสียงทั้งสิ้น นี่รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังมันเอาไปยกยอปอปั้นนักปฏิบัติ เอาลูกยอไปให้เขา นี่ไงคนหนา คนประพฤติปฏิบัติทําสมาธิยังไม่เป็น ถ้าทําสมาธิเป็นมันจะฝืนกับความเป็นจริงในใจได้อย่างไร
ถ้าความเป็นจริงในใจมันเป็น มันเป็นเพราะอะไร?
มันเป็นเพราะเรามีสติแล้วบริกรรมพุทโธๆๆ ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันจะเป็นสมาธิขึ้นมา แล้วมันเป็นสมาธิขึ้นมามันเป็นตรงไหน มันเป็นที่กลางหัวใจนั้น เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมานะ นั้นเป็นกิริยาในการประพฤติปฏิบัติ มันเป็นพิธีประพฤติปฏิบัติ มันเป็นวิธีการ มันเป็นพิธีประพฤติปฏิบัติ พิธีนั้นขึ้นมาเพื่อหาสัจจะหาความจริงในใจของตน
ถ้ามันหาสัจจะความจริงในใจของตน ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามาด้วยอะไร ด้วยสติ ด้วยคําบริกรรม ด้วยความเพียรชอบถูกต้องชอบธรรม มันไม่ใช่ ไม่ใช่ยกยอปอปั้น มันไม่ใช่บอก “อยู่เฉยๆ มันก็มาเอง อยู่เฉยๆ มันก็จะเป็นเอง อยู่เฉยๆ มันก็จะบรรลุธรรม” ถ้าบรรลุธรรม บรรลุธรรมเพราะธรรมมันมีอยู่แล้ว มันมีตรงไหน!
“ประภัสสร นี่จิตประภัสสะ ประภัสสรไง”
ประภัสสรนั่นน่ะอุปกิเลส นั่นล่ะกิเลสชัดๆ เลย แต่ไม่รู้ เอ้อ! แปลก ไม่รู้ ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลัง เพราะมันแซงไปมันถึงไม่เห็นกิเลส มันเลยเป็นกิเลสฟาร์มไง ฟาร์มที่มันเป็นฟาร์มคือมันซับมันซ้อน มันมากมายมหาศาล แต่ลัดไป ข้ามไปโดยไม่เห็น
ถ้าเห็นมันจะไม่พูดค้านกับความจริง แล้วอบรมบ่มเพาะวงกรรมฐานให้มันถูกต้องชอบธรรม ถ้าถูกต้องชอบธรรมเดินตามๆ มา เดินตามมาเพราะอะไร ไม่ต้องไปแข่งไปชิงกับหลวงปู่มั่นหรอก เพราะหลวงปู่มั่นท่านปรินิพพานไปแล้ว ไม่ต้องไปแข่งไปชิงกับครูบาอาจารย์ของเรา เพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านนิพพานไปแล้ว ไม่มีคู่แข่งไง
เราทําให้มันถูกต้องชอบธรรมโดยการแสดงออกด้วยความเคารพ การเคารพมันเป็นการเคารพโดยความเป็นสุภาพบุรุษ แต่การแซงหน้าแซงหลังมันไม่ใช่สุภาพบุรุษ แล้วสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านวางไว้ ท่านสร้างไว้ ท่านทําไว้น่ะ มันเป็นสิ่งน่าที่จะเคารพบูชา จะว่าเป็นตัวแทนท่านก็ได้ เป็นตัวแทนของผู้ที่ปรินิพพานไปแล้ว
อย่างเช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ที่ท่านได้วางข้อวัตรปฏิบัติไว้ แล้วการวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ มันเป็นการพิสูจน์ว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันจะรู้เห็นเป็นทางเดียวกัน มันต้องเป็นในร่องเดียวกัน เพราะหลวงตาพระมหา-บัวท่านเคยเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่มั่นเวลาท่านแก้ แล้วท่านเทศนาว่าการ ต้องเป็นอย่างนี้! ต้องเป็นอย่างนี้! ต้องเป็นอย่างนี้! ต้องอย่างเดียวเลย แล้วถ้าต้อง! ต้อง! ต้อง! ก็เดินตามไง ก็ถูกต้องไง ปฏิบัติโดยชอบไง
ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังมันแซงฟาร์มมันไปเลยนะ เพราะมันไม่เห็นนะ ฟาร์มไก่ ฟาร์มหมู ฟาร์มวัวที่ใหญ่ๆ โอ้โฮ! มันใหญ่โตมากนะ แล้วกลิ่นนี่มันจะขจรขจายไปทั่วนะ ทําไมไม่เห็น แปลก! แปลกมาก ทําไมแซงหน้าแซงหลัง แซงฟาร์มนะ กิเลสฟาร์ม กิเลสฟาร์ม ฟาร์มกิเลสของตนแซงจนไม่ได้กลิ่นเลยหรือ แล้วไม่เห็นฟาร์มของตัวด้วยนะ ไม่เห็นกิเลสไง
แต่ถ้าผู้รู้ผู้เห็นนะ นี่แค่ทําความสงบของใจ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเน้นยํ้ามาก “ทําความสงบของใจเข้ามาก่อน ทําความสงบของใจเข้ามาก่อน” ในการก่อสร้าง ในการทําสิ่งเทคโนโลยีต่างๆ เขาจะต้องมีศูนย์ความเที่ยง ระดับ ระดับนํ้า เห็นไหม ระดับที่ทําสิ่งใดต้องให้ได้ศูนย์ต้องสมบูรณ์ของมัน ทําความสงบของใจมันต้องเที่ยงตรง
สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน คือหัวใจ คือภพ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ภวาสวะ กิเลส นี่กิเลสหัวข้อกิเลสหนักๆ ๓ อวิชชาสวะ กิเลสสวะ ภวาสวะ ถ้ารวมกันมันก็เป็นภพเป็นชาติ ภพชาติเกิดจากหัวใจนี้ เพราะหัวใจนี้มันมีภพมีชาติ ภพคือสถานะ สิ่งที่ว่าเป็นนามธรรมๆ นี่สถานะความรับรู้ต่างๆ นี่แล้วมันเป็นนามธรรม ถ้าไม่ได้ทําความสงบของใจเข้ามามันจะไม่เข้าสู่สมถกรรมฐาน ฐานก็คือภพ ภพก็คือภวาสวะ ภพก็คือฐานปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตคือจิตของเรานี่
เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐาน ถ้าไม่มีสมถกรรมฐานงานนี้จะตั้งอยู่บนอะไร งานนี้จะแก้ไขใคร งานนี้จะเป็นงานของใคร นี่เราเป็นพระปริยัติ เราก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็สอบ เห็นไหม ป.๑ ป.๒ ป.๓ ป.๔ ป.๕ ป.๖ ป.๗ เวลาสอบโอ้โฮ! มันยาก มันลําบาก มันข้น มันแค้น มันเป็นการศึกษาที่ยากมาก เวลาศึกษาจบแล้ว จบ
ภพอยู่ไหน เราก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดมาเป็นมนุษย์ชาตินี้ ได้มาบวชเป็นพระ แล้วได้ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นมันก็เป็นบุญเป็นกุศลอันหนึ่ง ได้ศึกษาธรรมะ แล้วก็เผยแผ่ธรรมๆ เผยแผ่ให้คนอื่นนะ แต่ไม่เผยแผ่ให้ตัวเอง เพราะตัวเองมันยังไม่รู้จักศีล สมาธิ ปัญญา มันยังไม่รู้จักสมาธิ มันยังทําสมาธิไม่เป็น
ถ้าเป็นพระที่ดีงามเขาก็ไม่แซงหน้าแซงหลังพระไตรปิฎกไม่แซงหน้าแซงหลังบาลี ไม่เลี่ยงบาลีไง นี่เคารพบูชา ศึกษามาแล้วมีความรู้แล้วต้องคุ้มครองตัวเองได้ นี่มันก็เคารพบูชาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันเลี่ยงบาลีมันก็ลัดไง แซงหน้าแซงหลังไง มันก็ลัดไปเลย นี่ลัดปริยัตินะ ลัดปริยัติคือเลี่ยงบาลี ละคําสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าเป็นกรรมฐานๆ กรรมฐานนะ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ แล้วเรายอมรับสัจจะความจริงว่า“กิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลส” เพราะเรามีกิเลส เราถึงได้มาเกิด แล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาข้อเท็จจริงนี้ ถ้าเอาข้อเท็จจริงนี้เราเชื่อมั่นในหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้วางรากฐานในวงกรรมฐาน
เราทําความสงบของใจเข้ามาก่อน ทําความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าทําความสงบของใจทําไมมันไม่สงบล่ะ แล้วถ้ามันสงบล่ะ สงบคือสมาธิไง แล้วสมาธิที่มันสงบ มันสงบอย่างไรล่ะ มันบริกรรมอย่างไร แล้วมันสงบแล้วนี่ เห็นไหม จิตตั้งมั่น ตั้งมั่นเพราะอะไร
“นี่ไม่ต้องทําอะไรเลย มันเป็นประภัสสร”
ประภัสสรมันอ้างไปหมดล่ะ อ้างว่าจะไม่ทํา มันแซงหน้าแซงหลัง แซงกิเลสฟาร์มไปหมดเลย ไปสร้างสรรค์กันเอง ไปยกยอปอปั้นกันเอง ไปหลงโลก ไปเชิดชูบูชา นี่โลกเป็นใหญ่ ธรรมะแบนแต๊ดแต๋ แล้วแซงหน้า แซงหน้าหลวงปู่มั่นไปเลยนะ แซงหน้าแซงหลัง แซงครูบาอาจารย์ไปหมดเลย “ปฏิบัติอย่างนี้ง่ายดาย เรียบง่าย ปฏิบัติแล้วจะได้ผล”
ครูบาอาจารย์ของเราเดินจงกรมเกือบตาย นั่งสมาธินี่กว่ามันจะลงได้ ลงได้แล้วพยายามศึกษาของเรา พยายามรักษาของเรา รักษาของเรา เห็นไหม ถ้าจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติของวงกรรมฐาน
สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถะยังทําไม่ได้ ยังเป็นสมถะไม่ได้ จะเป็นวิปัสสนาไปได้อย่างไร ในอภิธรรมเขาบอก“ไอ้สมถะนี่หินทับหญ้า” หินทับหญ้าก็ให้มันทับเถอะ ถ้ามันมีหินให้ทับนะ บ้านเรือนเราจะได้สะอาด หญ้าไม่ขึ้นมารกรุงรัง หินยังไม่มีจะให้ทับเลย หน้าบ้านนี่โอ้โฮย! งู ทั้งงู ทั้งตะขาบ ทั้งสัตว์เลื้อยคลานเต็มเลย มันแอบอยู่ในพงหญ้านั่นน่ะ ยังไม่รู้ตัวนะ
“สมถะเป็นหินทับหญ้า สมาธิแก้กิเลสไม่ได้”
ในวงกรรมฐานเขารู้กันทั้งนั้น สมาธิแก้กิเลสไม่ได้หรอก แต่ต้องฝึกหัดสมาธิ ต้องการความเที่ยง ศูนย์เที่ยง ต้องการมาตรฐาน ถ้ามาตรฐาน มาตรฐานทําสิ่งใดแล้วมันจะเจริญงอกงามขึ้นไปได้ การก่อสร้างถ้าสิ่งที่ระดับไม่ได้ การก่อสร้างนั้นเดี๋ยวก็ถล่มทลาย เป็นไปไม่ได้ เราต้องการความเที่ยงตรง เพื่อการก่อสร้างขึ้นมันจะได้สร้างขึ้นบนคานคอดินที่เราสร้างไว้ดีแล้ว
สมถกรรมฐาน สมถกรรมฐานฐานที่ตั้งแห่งการงาน แล้วถ้าจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เดี๋ยวนี้พระกรรมฐานลืมหมดแล้วนะ บรรลุธรรมโดยลัด โดยชอบธรรม นี่มันไอ้พวก! พวกแซงหน้าแซงหลังนะ
แต่ลูกศิษย์กรรมฐานที่เดินตามๆ มานะ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน นี่สมถกรรมฐานทําความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบได้ ใจสงบได้เพราะกิเลสสงบตัวลง พอกิเลสสงบตัวลงถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาคือเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงคือเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันจะเห็นกิเลสไง
“โอ้โฮ! อุ้ย! กิเลสๆ อ๋อ!” นี่ไอ้พวกที่เลี่ยง เลี่ยงบาลี เลี่ยงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลี่ยงไป ไอ้นักปฏิบัติ แซงหน้าแซงหลัง มันแซงมันลัดไปจนไม่เห็นกิเลสไง
พอจิตมันสงบ สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ การยกขึ้นสู่วิปัสสนาคือการเห็นกิเลส ถ้าเห็นกิเลส ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ในการปฏิบัตินะ ล้มลุกคลุกคลานถ้าทําไม่ได้ ถ้าพอเริ่มทําได้ เริ่มมีอํานาจวาสนาขึ้นมา จิตเป็นสมาธิได้ จิตเป็นสมาธิได้สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบระงับไม่ต้องไปถามใครทั้งสิ้น ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ใครยกยอปอปั้น ใครให้การคํ้าประกันใดๆ ไม่มีสิทธิ์ เป็นไปไม่ได้ เวลามันจะเป็นจริงๆ มันต้องเป็นจริงขึ้นมาบนหัวใจดวงนี้
หัวใจดวงนี้นี่ภวาสวะภพที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา มันจะเป็นบนหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้ถ้ามันทําความสงบของใจได้แล้วถ้ามันตั้งมั่นได้ มันทําสมถกรรมฐานมันมีกําลังแล้ว มันมีอํานาจวาสนาพอ ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ คือถ้ามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง คือมันเห็นกิเลส ถ้ามันเห็นกิเลส เห็นไหม มันจะลัดกิเลสไปได้อย่างไรล่ะ ถ้ามันเห็นกิเลส เห็นกิเลสมันมหัศจรรย์
แค่มหัศจรรย์นะ คนที่ทําความสงบของใจ ถ้าใจสงบระงับแล้วน้อมไปเห็นกายกัน โอ้โฮ! ขนพองสยองเกล้า โอ๋! นี่กิเลสเรอะ กิเลสเป็นอย่างนี้เนาะ พึ่งเห็นนะ มันมีครอบครัว เพราะอะไร เพราะเห็นแล้วนะ เวลาปฏิบัติเข้าไป โอ้โฮ! พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ถ้ากําลังของสมาธิมันอ่อนลง กิเลสมันยิ่งใหญ่นะ มันพิจารณาไม่ได้ ใช้ความคิด ใช้ปัญญา ทั้งเหนื่อยทั้งทุกข์ทั้งยากทั้งลําบาก อูย! ทุกข์ยากมาก อยากจะมีใครส่งเสริม อยากจะกินยาวิเศษที่มันทะลุไปได้ ใครมียาวิเศษขอหน่อย
ไม่มีหรอก ความเพียรไง ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มนุษย์ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ คนเราเกิดมาโดยสัจจะโดยข้อเท็จจริง เรื่องอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ทุกข์นี้เป็นสัจจะ ทุกข์นี้เป็นความจริง
นี่เวลาทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง มันก็เป็นทุกข์ประจําโลก ทุกข์ที่เขาช่วยเหลือเจือจานกันได้ แต่ทุกข์อย่างนั้นเราก็พยายามหลบหลีก เราก็พยายามไม่ต้องการอยู่แล้ว แล้วทําไมเราจะต้องมาประพฤติปฏิบัติให้มันทุกข์มันยาก เวลาใช้สติใช้ปัญญา เวลากว่ามันจะสงบระงับได้ กว่ามันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนามันเห็นกิเลสได้ ทําไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ล่ะ
ทุกข์อย่างนี้ทุกข์เพื่อจะพ้นจากทุกข์ไง ถ้าเราไม่เข้าไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เราจะแก้ไขความจริงไม่ได้ เราจะแก้ไขความจริง เราจะต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับกิเลส เข้าไปเห็นหน้ากิเลส แล้วใช้สติปัญญา เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ท่านจะพูดว่ากองทัพธรรมกับกองทัพกิเลส
กิเลส เห็นไหม เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา เวลาธรรมจักรมันเคลื่อนตัวมันหมุนไป เวลาปัญญามันหมุนนะ ดําริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ งานชอบ ความชอบธรรมของธรรมจักร เวลามันเคลื่อนตัว ปัญญามันเคลื่อนตัว มันหมุนของมันนะ จากการทําความสงบของใจ ต้องการศูนย์ ต้องการความเที่ยงตรง ต้องการความมั่นคง แล้วเวลาการใช้สติปัญญาการเคลื่อนไป วงรอบของมัน อุ้ย! มหัศจรรย์ๆ
เวลามันเป็นจริงขึ้นมา มันรู้ มันเห็น เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วมันบอกไม่ต้องทําตรงไหน ไม่ต้องขวนขวายตรงไหน เพราะมันวางหมดแล้ว แล้วธรรมะมันมีอยู่โดยดั้งเดิม เรานึกเอาได้เลย สอพลอ สอพลอปอปั้นกับลูกศิษย์กรรมฐาน แล้วลูกศิษย์กรรมฐานที่อ่อนเยาว์ที่เบาปัญญาก็คล้อยตามเชื่อตาม แต่ถ้าผู้ที่ศึกษาค้นคว้า แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ จะรู้ว่ามันไม่เป็นความจริง
ความจริงเรามุมานะ เรามีการกระทําให้เป็นข้อเท็จจริงนี้ เราลงทุนลงแรงขนาดนี้มันก็ได้มาบ้างๆ ได้มาบ้างยังดีนะ ดีกว่าว่าแหม! ปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าไง อันนี้มันเป็น กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา มันเป็นอํานาจวาสนาของเรากันเอง มันเป็นบุญเป็นกุศลของบุคคลคนนั้น บุคคลคนนั้นมีบุญ มีอํานาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้าบุคคลคนนั้นมีอํานาจวาสนา ความเพียรของเขาเด็กๆ หมดล่ะ มันทําได้โดยสมํ่าเสมอ มันทําได้โดยความเป็นจริง มันทําด้วยความปลื้มใจความพอใจ
ปลื้มใจเพราะว่าอะไร?
ปลื้มใจเพราะว่าเราเป็นบุคคลคนหนึ่งที่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วเรามีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ เรากําลังทําความเพียรของเราอยู่นี่ เรามีโอกาสที่จะพ้นจากทุกข์ หาคนอย่างนี้ได้ยาก แล้วเราเป็นคนคนหนึ่ง มันทําด้วยความภูมิใจ ทําด้วยความเต็มใจ ทําด้วยความข้อเท็จจริง
ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันกังวานกลางหัวใจ ไม่ต้องให้ใครมารับประกัน ไม่ต้องให้ใครมาเยินยอ ไม่ต้องให้ใครมาส่งเสริม
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เห็นไหม ท่านก็นั่งดูไง ท่านอบรมบ่มเพาะคุ้มครองดูแลแล้วให้ลูกศิษย์มาปฏิบัติ แล้วเวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติพอท่านได้สัจจะความจริง “เอ้อ! มันต้องอย่างนี้สิ” หลวงตาทําเอง แต่ท่านเป็นคนให้อุบาย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วให้กรรมฐานกับภิกษุออกไปประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นความเป็นจริงท่านอนุโมทนา เหมือนหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนี่แหละ แต่! แต่มันเป็นภาษาสมัยนู้นไง ภาษาเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ หลวงปู่มั่นเอ้อ! เอ้อ ท่านภูมิใจ ท่านดีใจ ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เป็นสัจจะเป็นธรรมจริง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ขึ้นมาจากใจดวงนั้น
ไม่ใช่สอพลอปอปั้น แล้วฟาร์มกิเลส กิเลสมันเป็นฟาร์มเลยในหัวใจมากมายมหาศาล ไม่เห็นเหรอ เพราะไอ้พวกแซงหน้าแซงหลัง มันแซงไปจนไม่รู้ไม่เห็น
แต่มันยังมีอํานาจวาสนานะ มีครูบาอาจารย์ที่ท่านเดินตาม ท่านก็เคารพบูชา แล้วเราปฏิบัติได้มากได้น้อยมันก็อํานาจวาสนาของเรา แข่งอํานาจวาสนากันจะไปแข่งกับใคร เราต้องแข่งกับกิเลสของเราเองไง ต่อสู้ค้นคว้าถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา มันจะเป็นกลางหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น เอวัง